|
|
การคุย “1-1 กับหัวหน้า” (one-on-one meeting) หมายถึงการนัดพูดคุยเป็นการส่วนตัวระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง เพื่ออัปเดตงาน รับฟังปัญหา หรือพูดคุยเรื่องพัฒนาอาชีพ จุดประสงค์คือเพื่อสื่อสารตรงไปตรงมา และสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างกัน
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในการคุย 1-1 และวิธีแก้ไข
1.ไม่มีเป้าหมายชัดเจน
ลูกน้องไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร หัวหน้าก็ไม่มีหัวข้อชัด ทำให้คุยวนๆ หรือจบแบบไม่เกิดผล
แก้ไข: ทั้งคู่ควรเตรียมหัวข้อหลักไว้ล่วงหน้า เช่น งานที่ติดขัด, feedback, พัฒนาทักษะ, แผนอาชีพ ฯลฯ
2.กลัวพูดความจริง
ลูกน้องกลัวหัวหน้าจะไม่พอใจ ส่วนหัวหน้าก็ไม่กล้าติ เพราะกลัวลูกน้องเสียกำลังใจ
แก้ไข: ตั้งบรรยากาศแบบ “พื้นที่ปลอดภัย” (safe space) ว่าคุยได้ตรงๆ ไม่ใช่การประเมินผล
3.คุยแต่เรื่องงาน ไม่แตะเรื่องคน
หลายทีมใช้ 1-1 เหมือน daily update ทำให้พลาดโอกาสพูดถึงแรงจูงใจ ความรู้สึก หรือเป้าหมายส่วนตัว
แก้ไข: แบ่งเวลาให้คุย “เรื่องงาน” และ “เรื่องคน” อย่างละครึ่ง เช่น 15 นาทีงาน + 15 นาทีเรื่องการเติบโต
4.ไม่มี follow-up หลังคุยจบ
คุยกันดี แต่ไม่มีการสรุปหรือติดตาม ทำให้ทุกอย่างหายไป
แก้ไข: เขียน recap สั้นๆ หลังจบ เช่น “สรุปที่เราคุยกันวันนี้คือ... สัปดาห์หน้าจะ follow up เรื่องนี้อีกที”
คำถามที่ “ลูกน้อง” ควรเตรียมไว้คุย 1-1 กับหัวหน้า
(เลือกใช้ตามจังหวะของแต่ละรอบได้เลยครับ)
เรื่องงาน
- ตอนนี้ผลงานของเรามีส่วนไหนที่ควรพัฒนาไหม?
- คุณคาดหวังอะไรจากบทบาทของเรามากกว่านี้ไหม?
- มีอะไรที่เราทำได้เพื่อช่วยทีมให้ดีขึ้นไหม?
เรื่องการเติบโต
- ถ้าอยากเติบโตไปเป็น [ตำแหน่ง X] เราควรเริ่มจากจุดไหน?
- คุณคิดว่าเรามีจุดแข็งอะไรที่ควรต่อยอด?
- มีโปรเจกต์ไหนที่เราควรลองเพื่อเรียนรู้เพิ่มไหม?
เรื่อง feedback และความสัมพันธ์
- คุณมี feedback อะไรตรงๆ ที่อยากบอกไหมครับ/คะ?
- เรามีอะไรที่คุณคิดว่า “ทำได้ดี” ที่ควรทำต่อไหม?
- คุณอยากให้เราสื่อสารกับคุณแบบไหน จะได้ทำให้เวิร์กขึ้น?
ในมุมของหัวหน้า ควรคุย 1-1 กับลูกน้องยังไง
1.ฟังมากกว่าพูด
ให้ลูกน้องได้พูดประมาณ 70% เพราะเป้าหมายคือ “เข้าใจ” ไม่ใช่ “สั่ง”
2.ตั้งคำถามปลายเปิด
เช่น “ตอนนี้รู้สึกยังไงกับงาน?” แทนที่จะถาม “โอเคไหม?” ซึ่งมักจบแค่ “โอเคครับ/ค่ะ”
3.แยกโหมดการคุยออกจากการประเมินผล
อย่าทำให้ลูกน้องรู้สึกเหมือนถูกสอบหรือโดนตัดเกรด
4.ให้ feedback เชิงบวก + เชิงพัฒนา
เช่น “สิ่งที่คุณทำดีคือ... และสิ่งที่น่าลองปรับคือ...” ไม่ใช่แค่ตำหนิ
5.จบด้วย next step ที่ชัดเจน
เช่น “สัปดาห์หน้ามาอัปเดตกันอีกทีเรื่อง X” หรือ “ฉันจะช่วยหาทรัพยากรให้เรื่องนี้”
ตัวอย่างสรุปการคุย 1-1 ที่ดี
- พูดคุยเปิดใจเรื่องงานและแรงจูงใจ
- มี feedback สองทาง
- ตกลงสิ่งที่จะทำต่อ / สิ่งที่หัวหน้าช่วยสนับสนุน
- นัด follow-up รอบถัดไป
|
|