|
|
3 ผลไม้ “ตัวร้ายทำลายตับ” กินผิดวิธี ตับพัง เสี่ยง “ตับแข็ง-มะเร็งตับ” โดยไม่รู้ตัว
ผลไม้ถูกมองว่าเป็น “อาหารทองคำ” ในการรับประทานประจำวัน แต่หลายคนไม่รู้ว่า หากกินผิดวิธีหรือเลือกผิดประเภท ผลไม้ก็สามารถกลายเป็น “ฆาตกรเงียบ” ที่ทำลายตับได้อย่างร้ายกาจ เรื่องราวของเสี่ยวหลี่ หนุ่มชาวจีนที่ชื่นชอบผลไม้ เป็นคำเตือนที่ชัดเจนที่สุด
เสี่ยวหลี่ชื่นชอบการกินลิ้นจี่เป็นพิเศษ ทุกฤดูร้อนเขาจะซื้อลิ้นจี่มาเป็นสิบกิโลกรัมเพื่อกินเรื่อย ๆ วันหนึ่งเขาได้ยินว่ามีลิ้นจี่หวานจัดมาใหม่ที่ตลาด จึงซื้อมาถุงใหญ่และกินติดต่อกันมากกว่าสิบลูก คืนนั้นเขาก็เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ และอาเจียนไม่หยุด เมื่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็น “โรคลิ้นจี่” ซึ่งเกิดจากการกินลิ้นจี่มากเกินไปจนน้ำตาลในเลือดต่ำและเกิดความผิดปกติของการเผาผลาญ
สิ่งที่น่าตกใจคือ ผลการตรวจแสดงให้เห็นว่า ตับของเขามีสัญญาณของการเสียหาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภคผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงมากเกินไป และมีการกินผลไม้บางประเภทที่เริ่มเน่าเสียสะสม โดยปกติแล้ว ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดสารพิษ ดังนั้นเมื่อตับถูกโจมตีด้วยสารพิษเหล่านี้ ความสามารถในการล้างพิษก็จะลดลง ทำให้สารพิษสะสมมากขึ้น จนตับ “บวมโต” และอ่อนแอลงเรื่อย ๆ
3 ผลไม้ที่ทำให้ตับ “อ้วนและแข็ง” หากกินเป็นประจำ
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ผลไม้ 3 ประเภทนี้คือตัวการสำคัญที่ทำให้ตับทำงานหนักเกินไป จนนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับและตับแข็งได้
1. ผลไม้ที่เสียหรือเน่าเสีย
ผลไม้ที่เน่าเสียหรือมีเชื้อราเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะในระหว่างกระบวนการย่อยสลาย จะเกิดการสร้าง สารพิษจากเชื้อรา (Aflatoxin, Patulin) โดยเฉพาะสาร Patulin ที่พบในแอปเปิล ลูกแพร์ หรือองุ่นที่เสียหาย สารพิษเหล่านี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะ ทำลายเซลล์ตับ ก่อให้เกิดความผิดปกติของการเผาผลาญ และอาจนำไปสู่ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับ ได้ในที่สุด
2. ผลไม้รสหวานจัด เช่น ลิ้นจี่ ลำไย และมะม่วงสุก
แม้ผลไม้รสหวานจะมีวิตามินสูง แต่ก็ มีฟรุกโตส (น้ำตาลผลไม้) ในปริมาณสูงมาก ซึ่งฟรุกโตสสามารถถูกเผาผลาญได้ที่ตับเท่านั้น การกินมากเกินไปจึง บังคับให้ตับทำงานหนักเกินพิกัด และในระยะยาวจะนำไปสู่ ไขมันพอกตับ และเอนไซม์ตับผิดปกติ ได้
แพทย์เตือนว่า ผู้ที่กินลิ้นจี่หรือมะม่วงสุกในปริมาณมากอาจเป็น “ไขมันพอกตับจากน้ำตาล” แม้ว่าจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็ตาม โดยเฉพาะลิ้นจี่นั้น มีความสามารถในการ ลดน้ำตาลในเลือด อย่างรวดเร็ว ซึ่งเคยมีรายงานว่าทำให้ผู้สูงอายุหลายรายเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ จนถึงขั้นหมดสติมาแล้ว
3. ผลไม้แปรรูป เช่น น้ำผลไม้กล่อง แยม และผลไม้แช่อิ่ม
น้ำผลไม้สำเร็จรูป แยม หรือผลไม้กระป๋อง มี ปริมาณน้ำตาล สารกันบูด และสารแต่งกลิ่นสูงมาก เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้ตับต้องเพิ่มการทำงานเพื่อจัดการกับปริมาณฟรุกโตสและสารเคมีเหล่านี้ ทำให้ ไขมันสะสมและตับ “บวมโต” งานวิจัยจากสถาบันโภชนาการจีนพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้กล่องเป็นประจำ มี ความเสี่ยงไขมันพอกตับสูงกว่า ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดถึง 2.3 เท่า
- เช็กสักนิด! หมอเตือนผัก 4 ชนิด ติดอันดับ “ราชาตับเน่า” กินแล้วอย่าโทษตับเสื่อมก่อนวัย
- รู้ไว้ดีกว่า! หมอเจออีกเคส “มะเร็งผิวหนัง“ ต้นเหตุคือนิสัย “อาบน้ำ“ แบบหลายคนชอบทำ
4 สัญญาณเตือนว่าตับกำลัง “ร้องขอความช่วยเหลือ”
ตับเป็นอวัยวะที่ ไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึก ดังนั้นเมื่อตับเกิดความเสียหาย ผู้ป่วยจึงมัก ไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนอย่างเงียบ ๆ ดังนี้:
- รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เป็นประจำ แม้จะนอนหลับเพียงพอแล้ว
- คลื่นไส้ เบื่ออาหาร โดยเฉพาะหลังกินอาหารมันเยิ้มหรืออาหารรสหวานจัด
- ผิวและตาเหลือง มีอาการคัน ซึ่งเป็นสัญญาณของการคั่งของน้ำดีและความผิดปกติในการเผาผลาญบิลิรูบิน
- ปรากฏ “ฝ่ามือตับ” หรือ “จุดแมงมุม” (รอยแดงคล้ายใยแมงมุมบนผิวหนังบริเวณมือ คอ หน้าอก) ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ความผิดปกติของตับอย่างชัดเจน
หากมีอาการเหล่านี้ ควรไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจเอนไซม์ตับและฟังก์ชันการทำงานของตับให้เร็วที่สุด
ผู้สูงอายุควรกินผลไม้อย่างไร ไม่ให้ทำร้ายตับ?
ในผู้สูงอายุ ความสามารถในการทำงานของตับและการเผาผลาญน้ำตาลจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- เลือกกินแต่ผลไม้สดและสะอาด เท่านั้น หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรอยช้ำ เน่าเสีย หรือมีเชื้อราอย่างเด็ดขาด
- กินในปริมาณที่พอเหมาะ โดยเฉลี่ยไม่ควรเกิน 200–300 กรัมต่อวัน
- หลีกเลี่ยงน้ำผลไม้บรรจุกล่อง แยม หรือน้ำเชื่อม ควรคั้นน้ำผลไม้สดเองโดยไม่เติมน้ำตาล
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การกินผลไม้ถูกวิธีจะ “บำรุงตับ” แต่ถ้ากินผิดวิธีจะ “ทำลายตับ” การกินแอปเปิลที่เริ่มเสียเพียงเล็กน้อย หรือดื่มน้ำผลไม้หวานจัดอาจดูไม่เป็นอันตราย แต่หากสะสมเป็นเวลานาน ผลที่ตามมาอาจคือ ไขมันพอกตับ ตับแข็ง และมะเร็งตับ ในที่สุด
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม
- Medical Report (Placeholder)
- Chinese Nutrition Institute (Placeholder)
- Hepatology Specialist Commentary (Placeholder)
|
|